วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557

สาระความรู้เรื่องดวงตา

  • eyedetail.jpg
  • 5_.jpg
  • lacrimal.jpg
  • eyestress2.jpg
สาระความรู้เรื่องดวงตา 

เคล็ดลับคงความอ่อนเยาว์ของดวงตาจาก ดร.แอนดรูว์ ไวล์


เข้า รับการตรวจตาเป็นประจำทุกๆ 2-4 ปี และทุกๆ 1-2 ปี สำหรับอายุ 65 ปีขึ้นไปสำหรับผู้ที่ต้องจ้องหน้าคอมพิวเตอร์เป็นประจำ เริ่มฝึกนิสัยในการพักสายตาโดยการมองออกไปไกลๆ ทุกๆ 10-15 นาที สวมใส่แว่นตาดำที่สามารถปกป้อง และกรองแสงยูวี ทุกๆ ครั้งที่ทำกิจกรรมกลางแจ้งปกป้องและระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสควัน และฝุ่นละอองต่างๆ โดยตรง






อาหารเสริมเพื่อดวงตาสดใส


บริโภคผัก ผลไม้ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (anti oxidant) ในปริมาณสูง 

          เช่น ผิวบิลเบอร์รี่ ผักใบเขียว และแครอท ช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา และช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้ พร้องทั้งช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืดและมีความไวในที่มีแสงน้อยๆ ดีกว่า

          บริโภคผัก ผลไม้ ที่มาสรลูทีน (Lutien) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) 

          เป็น สารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งมีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม ที่สามารถพบได้ในผลอโวคาโด บล็อกโคลี่ ข้าวโพด ฟักทอง ผักโขม และผักกวางตุ้ง เป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตาทำหน้าที่ช่วยกรอง หรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการต้านอนุมูลอิสระที่ทำลาย ดวงตา และกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา



โรคทางตาที่พบบ่อย



 โรคต้อหิน



                     
               ภาพจากตาปกติ     ภาพจากอาการโรคต้อหิน                   



ต้อหินเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับเส้นประสาทตาซึ่งเชื่อมระหว่างดวงตาและสมอง หากความดันภายในตาสูงกว่าระดับที่เส้นประสาทตาสามารถรับได้จะทำให้ขอบเขตใน การมองเห็นค่อยๆ แคบลง และมองไม่เห็นในที่สุดซึ่งเป็นผลให้ตาบอดได้
โรคต้อหิน สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่มีอาการ และ ไม่มีอาการ สำหรับต้อหินประเภทมีอาการ ความดันภายในตาจะ สูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน ทำให้เกิดอาการปวดตา ตาแดง หรือการมองเห็นไม่ชัดเจน ผู้ป่วยต้องไปพบจักษุแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยทันที แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคต้อหินจะมีอาการเจ็บปวด แต่ต้อหินประเภทที่สองพบได้มากกว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่ทราบว่าเป็นโรคนี้จนกว่าจะมีอาการอยู่ในขั้นรุนแรง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคต้อหินประเภทที่สองนี้ในช่วงแรกจะไม่มีปัญหาในการมองเห็น เลย แต่สามารถตรวจพบได้ในการตรวจสุขภาพตา
     ปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคต้อหิน

บางท่านอาจมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคต้อหินมากกว่าคนปกติ เช่น ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคต้อหิน ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่เคยได้รับอุบัติเหตุ หรือผู้ที่ใช้ยาบางชนิดเป็นประจำก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคต้อหิน ก่อนใช้ยาใดๆ จึงควรอ่านฉลากก่อน เพื่อให้ทราบผลข้างเคียงของการใช้ยา ปัจจัยการเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ ผู้ที่มีสายตาสั้นปานกลางถึงสั้นมาก หากท่านมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ

 
โรคจอประสาทตาหลุดลอก

                      
                    โรคจอประสาทตาหลุดลอก

   โรคจอประสาทตาหลุดลอก เป็นอาการที่รุนแรงและส่งผลต่อการมองเห็น โดยเกิดขึ้นเมื่อจอประสาทตาแยกออกจากเนื้อเยื่อที่ยึดอยู่ภายใต้จอประสาทตา เมื่อเนื้อเยื่อเหล่านี้แยกออกจากจอประสาทตา จะทำให้จอประสาทตาไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และหากปล่อยไว้โดยไม่มีการรักษาก็จะส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นในที่สุด

   โรคจอประสาทตาหลุดลอก ชนิดที่พบได้มากที่สุด เกิดขึ้นเมื่อมีรอยแยกในเนื้อเยื่อชั้นที่รับความรู้สึกของจอประสาทตา และของเหลวจึงไหลซึมออกมา ส่งผลให้ชั้นเนื้อเยื่อของจอประสาทตาหลุดออกจากกัน สำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นมาก และเคยได้รับการผ่าตัดตาหรือเคยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงที่ดวงตา มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นโรคจอประสาทตาหลุดลอก ผู้ที่มีสายตาสั้นมีโอกาสเป็นโรคจอประสาทตาหลุดลอกได้มากกว่า เนื่องจากผู้ที่มีสายตาสั้นจะมีความยาวของลูกตามากกว่าปกติ ทำให้จอประสาทตาบางและ เปราะกว่าปกติ โรคจอประสาทตาหลุดลอกอีกชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นเมื่อเส้นของวุ้นในตาหรือเนื้อเยื่อแผลเป็นทำให้เกิดการดึงรั้งบนจอ ประสาทตา ทำให้เกิดการหลุดลอก ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคจอประสาทตาชนิดนี้ได้


       อาการของโรคจอประสาทตาหลุดลอก


- มองเห็นแสงฟ้าแลบคล้ายไฟแฟลชกล้องถ่ายรูป 
- มีสิ่งบดบังในการมองเห็น 
- มองเห็นเหมือนมีอะไรลอยไปมามีลักษณะเป็นจุดหรือใยแมงมุม 
- การมองเห็นเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว 



การตรวจพบในระยะเริ่มต้น เป็นวิธีการรักษาการหลุดลอก และการฉีกขาดของจอประสาทตาได้ดีที่สุด การทราบถึงคุณภาพของการมองเห็นของท่านเองเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด โดยเฉพาะหากท่านอยู่ในกลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงสูง เช่น มีสายตาสั้น หรือเป็นโรคเบาหวาน หากท่านสังเกตพบอาการเหล่านี้ ควรไปพบจักษุแพทย์โดยทันที


โรคกระจกตาย้วย (Keratoconus)

                     
                           โรคกระจกตาย้วย

โรคกระจกตาย้วย (Keratoconus)

โรคกระจกตาย้วย เป็นความผิดปกติของดวงตาซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างภายในกระจกตาซึ่งทำให้กระจกตาบาง และมีรูปร่างผิดปกติ โรคกระจกตาย้วยส่งผลให้การมองเห็นผิดปกติ และความสามารถในการมองเห็นลดลง ซึ่งสามารถตรวจพบได้ในช่วงวัยรุ่น และจะมีอาการรุนแรงที่สุดในช่วงอายุ 20-39 ปี ในบางรายอาจใช้เวลาหลายสิบปีจึงจะมีอาการรุนแรง แต่สำหรับรายอื่นๆ อาจมีอาการรุนแรงถึงระดับและหยุด


โรคกระจกตาย้วย สามารถทำการรักษาได้หลายวิธี วิธีแรก คือ การใส่คอนแทคเลนส์ชนิด RGP และเมื่อการมองเห็นมีความผิดปกติจนถึงขั้นที่คอนแทคเลนส์ไม่สามารถช่วยให้ การมองเห็นดีขึ้นได้แล้ว อาจมีความจำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตา การวัดความโค้งและความหนาของกระจกตาทำให้แพทย์สามารถเห็นรูปร่างของกระจกตา และใช้ในการตรวจหาโรคกระจกตาย้วย และระดับอาการของโรคอีกด้วย


 โรคต้อกระจก 

                  
          ลักษณะของโรคต้อกระจก         ภาพจากอาการโรคต้อระจก 

โรคต้อกระจก

ต้อกระจก เกิดจากเลนส์แก้วตามีความขุ่นมัวเมื่อมีอายุมากขึ้น ซึ่งพบได้ทั่วไปในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปต้อกระจก ทำให้การมองเห็นแย่ลง ผู้ที่มีอาการของต้อกระจกมักจะมองเห็นได้ไม่ชัดเจนเหมือนปกติ บางครั้งมองเห็นได้ชัดเจนกว่าในที่มีแสงน้อย เนื่องจากอาการของต้อกระจกส่วนใหญ่ เลนส์แก้วตาจะเริ่มขุ่นมัวจากบริเวณส่วนกลาง ในที่มีแสงน้อย เมื่อม่านตาขยาย แสงสามารถผ่านเข้ามาทางส่วนอื่นของเลนส์แก้วตาได้ ต้อกระจกสามารถเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้อีกเช่น ดวงตาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ไฟดูด หรือการติดเชื้อเรื้อรังที่ดวงตา และการใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ สามารถทำให้เกิดต้อกระจกได้ด้วยเช่นกัน
 โรคต้อเนื้อ

                  
            โรคต้อเนื้อ                     โรคต้อลม

โรคต้อเนื้อ
หากท่านสังเกตเห็นส่วนเล็กๆ ที่งอกบริเวณส่วนตาขาวซึ่งอยู่ติดกับตาดำ นั่นอาจเป็นอาการของ โรคต้อเนื้อซึ่งอาจมีสีเหลืองและมีสีแดงบ้างเล็กน้อย และมีเส้นเลือดอยู่รอบๆ ต้อเนื้อ เป็นโรคตาที่เกิดจาก การระคายเคืองอันเนื่องมาจากรังสีอัลตราไวโอเลท ฝุ่นและลม
โดยทางการแพทย์ หากเนื้องอกอยู่เฉพาะในส่วนที่เป็นตาขาว เรียกว่า “ต้อลม” หากเนื้องอกจากตาขาวลามเข้าไปในตาดำ เรียกว่า “ต้อเนื้อ” เนื้อ งอกดังกล่าวไม่ใช่มะเร็ง และไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใดกับดวงตา เนื้องอกนี้ทำให้ดวงตารู้สึกระคายเคืองกับฝุ่น ลมได้มากขึ้นละทำให้เกิดอาการไม่สบายตา เช่น แสบร้อน และ น้ำตาไหลบ้างบางครั้ง การใช้ยาสามารถช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองได้ แต่ไม่สามารถรักษาอาการของโรคต้อเนื้อให้หายขาดได้

สายตากับการใช้คอมพิวเตอร์

                 


หยุดพักสายตาสักครู่

            อาการตาล้า เป็นอาการทั่วไปที่เกิดขึ้นกับผู้ซึ่งใช้คอมพิวเตอร์หรือมอนิเตอร์ (VDT) หากงานที่ท่านทำต้องมีการจ้องมอนิเตอร์เป็นเวลานานๆ ควรจะมีการหยุดพักบ้างเป็นครั้งคราว การเพ่งมองมากๆ ทำให้เกิดอาการล้าของกล้ามเนื้อตา ซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อที่ใช้ในการเพ่งในดวงตา และกล้ามเนื่อที่ใช้ปรับในการมองใกล้ การพักสายตาบ่อยๆ จะช่วยเพิ่มคุณภาพในการมองเห็น ลดอาการต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับดวงตา และเป็นการถนอมดวงตาอีกด้วย พยายามละสายตาจากหน้าจอเป็นเวลา 20 วินาทีในทุกๆ 20นาที การพักสายตาช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะมีอาการตาล้าทำให้คุณสามาถทำงานได้นานขึ้น โดยไม่มีปัญหาการล้าของตา นอกจากนี้ควรมีการตรวจสุขภาพตาอย่างละเอียดเป็นประจำทุกปี

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการทำงาน

            สภาพแวดล้อมมีส่วนสำคัญมาก ในการลดอาการตาล้าเนื่องจากการใช้คอมพิวเตอร์ ท่านควรตรวจสอบดูบริเวณโต๊ะทำงานของท่าน ว่ามีแสงซึ่งสะท้อนลงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของท่านหรือไม่ ซึ่งอาจจะเป็นแสงที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างด้านหลังของโต๊ะทำงาน หรือแสงจากแหล่งอื่นๆ แสงที่สะท้อนมาจากหน้าจอทำให้ท่านต้องหรี่ตา และทำให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าเกิดอาการล้าขึ้น 

            นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดความไม่สบายตา และทำให้ท่านทำงานได้น้อยลงอีกด้วย การปรับเปลี่ยนตำแหน่งการวางจอคอมพิวเตอร์ หรือการใช้ม่าน,ที่บังแดด,ที่บังแสงไฟ หรือจอชนิดพิเศษที่ป้องกันแสงสะท้อนได้ สามารถช่วยลดแสงสะท้อนและลดโอกาสที่จะเกิดอาการตาล้า แสงไฟภายในห้องก็เป็นสิ่งสำคัญ แสงมากเกินไปหรือน้อยเกินไป ทำให้ต้องหรี่ตาเวลามองเป็นสาเหตุของอาการตาล้าได้


ระยะห่างที่เหมาะสมในการทำงาน

            ระยะห่างที่ไม่เหมาะสมในการทำงาน สามารถเป็นสาเหตุของอาการตาล้าได้เช่นเดียวกับการใช้คอมพิวเตอร์ ระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างดวงตา และหน้าจอนั้นแตกต่างกันไป ในแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับรูปร่าง ลักษณะการนั่ง การจัดวางโต๊ะทำงานและปัญหาทางสายตาของแต่ละบุคคล 
โดยทั่วไปจอที่มีขนาดใหญ่จะดีกว่า เนื่องจากสามารถตั้งไว้ไกลๆ และช่วยลดอาการตาล้าได้ องศาของมุมในการมองก็เป็นสิ่งสำคัญในการลดอาการตาล้าด้วย องศาที่เหมาะสมในการมองคือ 10-20 องศาใต้ระดับสายตา หากเป็นไปได้ ควรวางเอกสารไว้ในระดับเดียวกับจอภาพ เพื่อลดความลำบากในการมองและการขยับศีรษะหรือดวงตา


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น